เดินป่าครั้งแรกที่ ม่อนจอง ดินแดนที่สวยงามราวอยู่บนสวรรค์


เดินป่าครั้งแรกที่ ม่อนจอง ดินแดนที่สวยงามราวอยู่บนสวรรค์

การเดินทางครั้งล่าสุดของคุณคือเมื่อไหร่? คุณเคยถามตัวเองบ้างมั้ยว่าในแต่ละครั้งที่ได้ออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ นั้น คุณไปทำไมกัน

ในการเดินทางครั้งนี้ป๊อปถามตัวเองอยู่หลายครั้ง หลังจากมีเพื่อนชวนไปเดินป่า ว่าทำไมต้องไปสถานที่ที่มันลำบากขนาดนี้ สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี ไฟฟ้าก็ไม่มี  เดินทางก็ไม่สะดวก ไปทำไม!!! แต่พอได้ออกเดินทางครั้งนี้ เราก็สามารถตอบตัวเองได้เลยว่าอะไรคือเหตุผลของการเดินทางผจญภัยในครั้ง แล้วคุณล่ะจะเริ่มออกเดินทางไปสัมผัสธรรมชาติ ภูเขา ท้องฟ้า สายลม แสงดาว ไอหมอกและอากาศที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริงเมื่อไหร่ดีล่ะ หรือใครยังคิดไม่ออกว่าวันหยุดที่จะถึงนี้จะเดินทางไปไหนดี เราจะพาคุณไปหาคำตอบพร้อมๆ ค่ะ

ตลอดการเดินทางครั้งนี้จากกรุงเทพ-เชียงใหม่ ในหัวก็คิดแว๊บๆ ขึ้นมาว่าเอ๊ะ นี่เราหาเรื่องป่าวว่ะ เดินป่ามันเหนื่อยนะ ส-อา ทำไมไม่นอนอยู่บ้านดีๆ หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ แต่ไหนไหนก็มาและงั้นก็ไปให้สุดแล้วกัน

เราใช้เวลาอยู่ในรถนานกว่า 16 ชม. ออกเดินทางตั้งแต่เวลา 21.30 น. วันที่ 23 พ.ย. 2561 ถึงหมู่บ้านมูเซอ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ เวลา 13.50 น. วันที่ 24 พ.ย. 2561

จริงๆ แล้วเราต้องมาถึงตั้งแต่ 10.00 น. และที่มาช้าเพราะมัวหลงทางอยู่ ไม่พูดเยอะไม่ใช่เจ็บคอนะ อาย 5555 เกือบไม่ได้ขึ้นดอยม่อนจองแล้วจ้า ซึ่งถ้าเรามาช้าอีกนิดเดียวเจ้าหน้าที่อุทยานก็ไม่ให้เราเดินขึ้นดอยแล้ว เพราะว่าทางมันชันเรียบไปหน้าผา ถ้ามืดจะเดินทางลำบาก แต่เราก็มาทันเวลา อีกแค่นิดเดียวจริงๆ เกือบไปและ เกือบจะพลาดการเดินทางที่สำคัญในครั้งนี้แล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นเราคงมานั่งเสียดายแน่ๆ

ก่อนจะไปดอยเราต้องนั่งรถ 4WD ระยะทางประมาณ 16 กม. ใช้เวลาชั่วโมงนิดๆ กว่าจะไปถึงเพราะเส้นทางเละตุ้มเป๊ะมาก ทางแย่แค่ไหนดูกันเอานะคะ แต่ก็ถือว่าการเดินทางครั้งนี้โชคดีนะคะ เพราะลูกหาบบอกว่าถ้าเรามาที่วันฝนตก คือรถจะไม่สามารถเข้าได้เลยเราอาจจะต้องเดินทางเพิ่มอีก 16 กม. ถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

เริ่มต้นการเดินทางทริปนี้ก็เหนื่อยมากแล้ว ได้เจอเรื่องราวที่ไม่คาดคิดตลอดเส้นทาง รถเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาตลอด คลื่นไส้มากบอกเลย บางช่วงที่ทางชันสูงมากๆ ก็ต้องลงเดินหน่อย

พอนั่นรถมาได้ชั่วโมงกว่า และแล้วก็มาถึงจุดเริ่มต้นที่เราจะต้องเริ่มเดินป่ากันแล้วจ้า
ไปค่ะ ออกไปผจญภัยที่แท้จริงกันเลย Let’s Go

ที่ดอยม่อนจองแห่งนี้ จะเปิดให้ท่องเที่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึง 15 กุมภาพันธ์นะคะ หลังจากนั้นจะปิด ไม่อนุญาตให้ นักท่องเที่ยวขึ้นเพราะต้องระวังภัยเรื่องช้างป่าที่ออกมาหากิน รวมถึงสภาพอากาศที่แห้งซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า สำหรับเวลาในเวลาในการเดินทางขึ้นดอยม่อนจองนั้น นักท่องเที่ยวควรใช้ประมาณ 2 วัน 1 คืน นะคะถึงจะพอดิบพอดี

แวะถ่ายรูปแปบ ก่อนเดินจริงจัง

พอเดินไปสักพักเริ่มร้อน ก็ถอดเสื้อแขนยาวออก และก็เก็บภาพก่อนที่จะไม่มีอารมณ์ถ่ายกันก่อนเลย เพราะต้องเดินกันอย่างเร่งรีบให้ทันมืด

เดินครั้งนี้เพื่อไปยังดอยม่อนจอง มีระยะทางประมาณ 4.5-6 ก.ม. ใช้เวลาเดินทางโดยประมาณ 2-4 ชม.

ในระหว่างการเดินทางก็มีทั้งความชันความเรียบ บางทีก็เหนื่อยแบบสุดๆ เหมือนกัน บางทีก็เดินสบาย หรือบางทีก็มีความลำบากที่ต้องล้มลุกคลุกคลานบ้างในบางครั้ง เพราะมันลื่นนนนน!!!!!

ขอบอกว่าการเดินทางครั้งคุณจะเดาไม่ถูกเลยว่าจะต้องเจออะไรอยู่ข้างหน้าบ้าง แต่ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์อะไรเราก็ต้องเดินต่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางให้ได้ สู้โว้ยยยยยย

ในป่าแห่งนี้มีความสวยงามของธรรมชาติสลับไปมา ให้ทุกคนที่ได้ร่วมเดินทางในครั้งนี้ตื่นตาตื่นใจตลอดที่ได้พบเรื่องราวที่แปลกใหม่และไม่จำเจกับที่อื่นแน่นอน

ธรรมชาติที่นี้คือสวยงามอุดมสมบรูณ์มาก ในระหว่างเดินคือเย็นสบายอย่างบอกไม่ถูก
ทำให้มีกำลังใจเดินต่อไป

หลังจากที่เดินมาสักระยะขึ้นเขาข้ามดอยสัก 2 ลูกได้มั้ง ถ้าจำไม่ผิด เราก็ได้ไปเจอวิวที่ไกลสุดลุกหูลูกตา พร้อมฟ้าครึ้มๆ และรุ่งกินน้ำ ก็แอบเก็บภาพเป็นที่ระลึกตามเคย

ขอสูดอากาศและพักเหนื่อยแปบ

เดินครั้งนี้ก็เหนื่อยแหละ เหนื่อยมากกว่าจะไปถึงแต่ละสถานที่ ต้องแบกสัมภาระเองที่เอามาเองทั้งหมดด้วย แค่เดินก็เหนื่อยแล้วของก็หนักอีก  และก็เริ่มคิดในใจอีกครั้งว่าทริปหน้าไม่เอาแล้ว อะไรที่มันเหนื่อยๆ แบบนี้ไม่ได้เจอป๊อปแน่ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็แอบหลงรักความลำบากที่เราไม่ได้เจอบ่อยๆ แบบนี้เหมือนกัน มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก แฮ๊! เหนื่อยแต่ก็มีความสุข

เวลาเราเหนื่อยเราท้อก็แค่หยุดพักเท่านั้นเอง ดูลูกหาบสิ! แบกของหนักได้ตั้ง 20 กก. เก่งกว่าเราอีก
เธอคนนี้ชื่อเอ เป็นสาวชาวมูเซอดำที่น่ารักมาก เดินนำทางและดูแลเราตลอดทริปนี้เลย

และแล้วอีกสักพักเราก็เดินมาถึงเนินหมาหอบ ที่เกือบจะเป็นเนินสุดท้ายก่อนจะถึงจุดหมายปลายทางของเราจริงๆ เนินนี้กว่าจะขึ้นได้เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน เอาว่ะ! สู้อีกนิด ฮึบๆ วิวระหว่างทางคือสูงลิบริวจากพื้นด้านล่างมาก ประมาณ 1,929 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เราก็เดินเล่นลัดเลาะไปตามเส้นทางที่วิวสวยงามเหมือนได้เดินเล่นบนสวรรค์เลยก็ว่าได้

แต่หมอกเยอะไปหน่อยถ่ายรูปออกมาเลยไม่ค่อยเห็นวิว ได้เหมือนที่สายตาป๊อปเห็นก่อนหน้านี้เลย สงสัยความสวยแบบนี้คงไม่อยากเรียกร้องความสนใจมั้ง เลยเอาหมอกมาปิดความสวยเอาไว้ เอาเป็นว่าถ้าใครอยากเห็นว่าเป็นยังไง วิว ณ ตรงนี้จะสวยสักแค่ไหนคงต้องไปดูให้เห็นกับตาเองแล้วแหละ

เดินมาอีกนิดก็มาถึงจุดหมายปลายทางซึ่งนั่นก็คือ ดอยม่อนจอง ซึ่งเวลาที่เรามาถึงมันก็ใกล้จะมืดแล้ว เราก็ต้องรีบไปกางเต้นท์ ทำอาหารค่ำกันก่อนเลย เพราะในการเดินครั้งนี้เรามาถึงกันเย็นเกินไป ทำให้ไม่มีเวลาได้ชมวิวสักเท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไหร่เดี๋ยวค่อยมาดูพรุ่งนี้ก็ได้

หลังจากที่เราวางสัมภาระ และกางเต็นท์ เราก็เริ่มประกอบอาหารมือค่ำกันอยู่นานสักพักใหญ่ๆ อาหารที่เราช่วยกันทำก็เสร็จ พวกเราจึงเริ่มล้อมวงและกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ พูดคุยกันอย่างมีความสุขในค่ำคืนนี้
ซึ่งเมนูที่เราทำให้วันนี้ก็มี สุกี้หมู,ยำปลากระป๋อง,ผัดกะเพรา,ผัดมาม่า,และไข่เจียว ที่ขอบอกว่าอร่อยสุดๆ

ที่นี่ไมีมีไฟฟ้าใช้และไม่มีอาหารขาย สำหรับใครที่จะมาแนะนำให้แวะซื้ออาหารสดก่อนจะมาถึงที่นี่ และเตรียมอุปกรณ์ทำอาหารมาด้วยนะคะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

หลังจากกินข้าวปลาอาหารกันอิ่มแล้ว เราก็ชวนกันไปดูดาวกัน แต่แอบเสียดายที่คืนที่เราไปดาวมันไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่เนื่องจากเพิ่งผ่านวันเพ็ญเดือน 12 มาไม่กี่วันเอง แต่ไหนมาและก็ออกไปถ่ายรูปเล่นกันสักหน่อยแล้วกัน

พอดูดาวและสัมผัสอากาศที่เย็นในค่ำคืนนี้เสร็จแล้วเราก็เตรียมตัวเข้านอน ขอบอกว่าอากาศคืนนี้หนาวมากๆ นอนแทบไม่ได้เลยคือเย็นมากจริง และพรุ่งนี้ก็ต้องตื่นตีสี่ตีห้าเพื่อมารอดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าตรู่กัน เพราะฉะนั้นคืนนี้นอนเติมพลังก่อน

เช้าวันที่ 25 พ.ย. 2561 เวลาประมาณตีห้านิดๆ เราก็เดินออกมาจากเต้นท์และเดินทางไปเรื่อยๆ ประมาณ 1 กม. เพื่อมาชมวิวที่ผาหัวสิงห์ และเราก็ไม่ลืมที่จะเก็บภาพความประทับใจ 1 2 3 แชะ! ซึ่งที่ตรงนี้ถือได้ว่าเป็นจุดไคลแม็กซ์ของการเดินทางมาในครั้งนี้เลยก็ว่าได้ ใครมาที่นี่แล้วไม่ได้มาตรงนี้ขอบอกว่าไม่ถึงค่า
เอ้ามาเก็บภาพเพื่อนร่วมทริปเป็นที่ระลึกกันหน่อย

กว่าจะได้ภาพออกมาสวยๆ ขนาดนี้ ทุกคนเห็นหน้าผาที่พวกเราไปยืนเก็กท่าสวย-หล่อกันมั้ยค่ะ ขอบอกว่ากว่าป๊อปจะไปยืนตรงนั้นได้คือทำใจนานมาก ขาสั่นระรัวไปหมด เพราะมันค่อนข้างสูงและชันมากคือถ้าพลาดตกลงมานี่ตายอย่างเขียดแน่ๆ 5555 แต่เพื่อรูปสวยๆ อ่ะเนอะ ก็ทำให้พวกเรารวบรวมความกล้าและขึ้นไปถ่ายมาจนได้

เราอยู่ที่นี่กันหลายชั่วโมงมาก เก็บซึมซับบรรยากาศและหายใจสูดโอโซนกันอย่างได้เต็มปอด เพราะที่ตรงนี้อากาศดีสุดๆ แถมวิวก็สวยมากหมอกก็หนา ถ้าจะให้พูดว่าสวยเหมือนยืนบนสวรรค์ก็คงไม่แปลกเลยจริงๆ

ขากลับเราก็วิ่งเล่นชื่นชมธรรมชาติที่แสนสวยงามกันไปเรื่อยๆ อย่างไม่เร่งรีบ ตรงไหนสวยก็แวะถ่ายรูป เพราะไม่ใช่บ่อยครั้งที่เราจะเดินทางมาที่แห่งนี้

พอยิ่งเห็นวิวและบรรยายกาศสวยในระหว่างทางมันให้เรานึกถึงคำในหนังเรื่อง The Secret Life of Walter Mitty เลยที่ว่า “ความสวยงามที่แท้จริงมักจะไม่เรียกร้องความสนใจจากใครทั้งนั้น” ป๊อปว่าคำนี้มันใช่เลยกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า ภาพและวิวที่สวยงามขนาดนี้มันไม่ได้มาง่ายๆ เลยจริงๆ ต้องเหน็ดเหนื่อย ต้องลำบากขนาดไหนกว่าจะได้เห็น

ป๊อปสามารถตอบคำถามที่คาใจตั้งแต่แรกที่เริ่มออกเดินทางมาได้เลย “ว่าเราออกเดินทางที่เหน็ดเหนื่อยและลำบากครั้งนี้ทำไมกัน” ตั้งแต่ได้เห็นภาพเหล่านี้ที่อยู่ตรงหน้า

ความงดงามของธรรมชาติในยามเช้า

มีแม่คะนิ้งเกาะตามดอกไม้ ใบหญ้าตามทางด้วย

หลังจากสูดอากาศกันเต็มกระบังลมแล้ว เราก็ยังกลับมาที่จุดกางเต็นท์และก็ประกอบอาหารกันอีกครั้ง ในเช้าวันนี้ เมนูก็คือโจ๊กหมูสับ,ข้าวผัดหมู,ขนมปังปิ้งและกาแฟ

พอกินกันอิ่มหนำสำราญแล้วก็เตรียมเก็บข้าวของทุกอย่าง แล้วเดินทางกลับอีกครั้ง เหนื่อยอีกแล้ว5555

จริงๆ เรื่องราวในการเดินทางครั้งนี้มันมีอะไรที่มากกว่านี้ ที่ป๊อปก็ไม่รู้จะบรรยายความงดงาม ความอิ่มเอม และความสนุกที่ได้ผจญภัยในครั้งนี้อย่างไรให้มันหมดความรู้สึกที่มี แต่เอาเป็นว่าให้คุณลองแพ็คกระเป๋าและออกเดินทางสักครั้งเหมือนกับป๊อปดูสิค่ะ แล้วคุณจะรู้ว่าสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้า มันเป็นอย่างไร…ส่วนวันนี้สวัสดีค่ะ และในครั้งหน้านั้นป๊อปจะเดินทางไปที่ไหน อย่าลืมติดตามกันนะคะ รัก

ขอบคุณรูปภาพจาก เพื่อนร่วมเดินทางทุกคนในทริป

เรียบเรียงโดย ShockingPink

 

 

#ม่อนจอง #เดินป่า #ป๊อปปี้ผจญภัย #ShockingPinkdiary #บันทึกจากผู้หญิงคนหนึ่ง




(Visited 621 times, 1 visits today)